วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

สุขภาพจิต

1 . แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ซักมัน ฟรอยด์
เป็นจิตแพทย์ชาวเวียนนา ฟรอยด์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพไว้ดังต่อไปนี้
1.1      โครงสร้างของบุคลิกภาพ ตามแนวความคิดของของฟรอยด์นั้นเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ส่วน
1 . Id เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นส่วนที่จิตไร้สำนึก มีหลักการที่จะสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น เอาแต่ได้อย่างเดียว
2. Ego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มีลักษณะของความมีเหตุผลอยู่ในหลักความเป็นจริง
3 . Superego เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่มาจากการอบรมสั่นสอนของพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดในสังคมว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
(3.1) มโนธรรม
(3.2)  อุดมคติแห่งตน
สรุปได้ว่า การทำงานของอิดนั้นเป็นไปเพื่อตอบสนองความพึงพอใจให้กับตนเองซึ่งเปรียบเหมือนล้อรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่ตลอดเวลา การทำงานของของอีโก้นั้นอยู่ในลักษณะของความเป็นจริง ถูกต้อง ซึ่งเปรียบเหมือนกับพวงมาลัยที่นำรถวิ่งไปบนถนนด้วยความปลอดภัย ส่วนการทำงานของซุปเปอร์อีโก้เป็นไปเพื่อให้การกระทอยู่ในกฎเกณฑ์ของสังคมและทำให้การกระทำนั้นมีความสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเปรียบเหมือนจราจรที่คอยควบคุมบังคับให้การทำงานของอีโก้เชื่อฟังคำสั่งตามกฏจราจรนั้นเอง
1.2 ขั้นพัฒนาการของบุคลิกภาพ  ฟรอยด์เชื่อว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กแต่ละคนจะขึ้นอยู่การเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพของร่างกายโดยร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงบริเวณแห่งความพึงพอใจเป็นระยะๆ ในช่วงอายุต่างๆกัน ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการเป็น 5 ระยะ ได้แก่
1. ขั้นปาก (Oral Stage)
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage)
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage)
4. ขั้นแฝง (Latence Stage)
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม (Genital Stage)
ฟรอยด์เชื่อว่า ความคับข้องใจ เป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาการทางบุคลิกภาพ แต่ต้องมีจำนวนพอเหมาะที่จะช่วยพัฒนา Ego แต่ถ้ามีความคับข้องใจมากเกินไป ก็จะเกิดมีปัญหา และทำให้เกิดกลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) ซึ่งเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก
2 . แนวคิดตามทฤษฎีบุคลิกของอิริสัน อีริค อีริคสัน
มีความคิดเห็นว่า Ego มีความสำคัญมากกว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่ ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต คือ วัยชรา และตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆพัฒนาการทางบุคลิกภาพ 8 ขั้นตอนของอิริคสัน
ขั้นที่ 1 ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ กับ ความไม่ไว้วางใจ (Trust vs. Mistrust) ความอบอุ่นที่เกิดจากครอบครัว ทำให้เด็กเชื่อถือไว้ใจต่อโลก ไว้ใจคนอื่น ทำให้กล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเอง กับ ความละอายและสงสัย (Autonomy vs. Shame and Doubt)   ระยะที่เด็กพยายามใช้คำพูดของตัวเองและสำรวจโลกรอบๆตัว ถ้าพ่อแม่สนับสนุนจะทำให้เด็กรู้จักช่วยตนเองและมีอิสระ ส่งเสริมความสามารถของเด็ก
ขั้นที่ 3 ความคิดริเริ่มกับความรู้สึกผิด (Initiative vs. Guilt) บทบาทของสังคม ริเริ่มทางความคิดจากการเล่น เด็กที่ถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรในสิ่งที่เขาอยากทำ เป็นเหตุให้เด็กรู้สึกผิด ตลอดเวลา บิดามารดาควรพิจารณาร่วมกันว่ากิจกรรมใดที่ปล่อยให้เด็กทำได้ ก็ให้เด็กทำ จะได้เกิดคุณค่าในตัวเอง ลดความรู้สึกผิดลงได้
ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรกับความรู้สึกต่ำต้อย (Industry vs. Inferiority) เด็กจะเริ่มมีทักษะทางด้านร่างกายและสังคมมากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เด็กเริ่มมีการแข่งขันกันในการทำงาน เด็กวัยนี้จะชอบให้คนชม ถ้าขาดการสนับสนุนอาจทำให้เกิดความรู้สึกมีปมด้อย
ขั้นที่ 5 ความเป็นอัตลักษณ์กับความสับสนในบทบาท (Identity vs. Role Confusion)  ระยะมีเอกลักษณ์ของตนเองกับความไม่เข้าใจตนเอง : เป็นระยะที่เด็กเริ่มสนใจเพศตรงข้ามรู้จักตนเอง ว่าเป็นใคร ถนัดด้านใด สนใจอะไร และถ้าเด็กมีความรู้สึกไม่เข้าใจตนเองก็จะเกิดความสับสน ในตนเอง และล้มเหลวในชีวิตได้
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดสนิทสนมกับความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง (Intimacy vs. Isolation)     เป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ทำงานเพื่อประกอบอาชีพ สร้างหลักฐาน มีความรักความผูกพัน
ขั้นที่ 7 การสืบทอดกับการคำนึงถึงแต่ตนเอง (Generativity vs. Self absorption/ Stagnation)   ระยะให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร วัยผู้ใหญ่ถึงวัยกลางคน  มีครอบครัวมีบุตร ได้ทำหน้าที่ของพ่อแม่
ขั้นที่ 8 ความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิตกับความสิ้นหวัง (Integrity vs. Despair) วัยที่ต้องยอมรับความจริงของชีวิต ระลึกถึงความทรงจำในอดีต ถ้าอดีตที่ผ่านมาแล้วประสบความสำเร็จจะทำให้มีความมั่นคงทางจิตใจ
สรุป ทฤษฎีของอีริคสัน เป็นทฤษฎีที่อธิบายพัฒนาการของชีวิตตั้งแต่งวัยทารกจนถึงวัยชรา อีริคสันเชื่อว่า วัยแรกของชีวิตเป็นวัยที่เป็นรากฐานเบื้องต้น
3 . แนวความคิดตามทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล แฮรี่ สแตค ซัลลิแวน
เป็นจิตแพทย์ซึ่งใช้วิธีการบำบัดรักษาคนไข้โดยวิธีจิตวิเคราะห์ ต่อมาได้เปลี่ยนวิธีการบำบัดรักษาโดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซัลลิแวนได้แบ่งการพัฒนาบุคลิกภาพตามประสบการณ์เป็น 7  ขั้น คือ
1. ขั้นทารก  วัยนี้จะมีความสุข กับการใช้ปากในการตอบสนองความต้องการอาหารของตนเองด้วยการดูดหรือการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการใช้ประสาทตาสัมผัสกับมือในการดูดนิ้วตนเอง
2. ขั้นวัยเด็ก เป็นช่วงที่เริ่มหัดพูด ฝึกออกเสียงได้ชัดเจน เริ่มมีเพื่อนและต้องการให้ผู้อื่นยอมรับสถานภาพของตนเอง
3. ขั้นก่อนวัยรุ่น เป็นวัยก่อนเรียน เป็นระยะเด็กเข้ารงเรียนชั้นประถม  มีพัฒนาการทางร่างกายเร็วมากเริ่มรู้จักสังคม มีการร่วมมือและแข่งขัน เรียนรู้ที่จะควบคุมตนอง
4. ขั้นแรกรุ่น เป็นระยะที่บุคคลรู้จักและยึดความเห็นของตนเองเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างไมตรีจิตอันสนิทสนมกับเพื่อนโดยเฉพาะกับเพื่อนเพศเดียวกัน
5. ขั้นวัยรุ่นตอนต้น เป็นวัยที่มีความพอใจในเรื่องเพศ ต้องการคบเพื่อนเดียวกันและต่างเพศ ต้องการความเป็นอิสระไม่อยากพึ่งพาใคร
6. ขั้นวัยรุ่นตอนปลาย เป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเต็มที่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรู้และเข้าใจตนเอง เรียนรู้บทบาทในสังคมได้ดี
7. ขั้นวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยที่มีพัฒนาการทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นสร้างหลักฐาน มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
สรุป จะเห็นว่าซัลลิแวนมีความเชื่อมั่นว่า การพัฒนาบุคลิกภาพในเยาว์วัยมีความสำคัญมากและเป็นวัยที่กำหนดชี้แนวทางพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลในอนาคต
4 . แนวความคิดตามทฤษฎีจิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ของจุง
มีความเชื่อว่าบุคคลมีอิสระทีจะพัฒนาตนไปในด้านต่าง ๆ โครงสร้างบุคลิกภาพที่เรียกว่าจิตนี้ประกอบด้วยระบบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
1 . อีโก้ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคลรับรู้และรวมถึงความคิด ความรู้สึกต่างๆ และความจำ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรู้จักเอกลักษณ์แห่งตน
2 . จิตไร้สำนึกของบุคคล เป็นส่วนของประสบการณ์ที่เคยอยู่ในจิตสำนึกมาก่อน แต่ถูกเก็บกดไว้และลืมเลือนไปแล้วสามารถดึงขึ้นมาใช้ในจิตสำนึกของบุคลได้
3 . จิตไร้สำนึก เป็นส่วนของความจำหรือพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เก็บสะสมกันมาหลายชั่วอายุคนและถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน
4 . หน้ากาก เป็นภาวะที่บุคคลต้องแสดงตนหรือแสดงพฤติกรรมตามที่สังคมคาดหวัง หรือบางครั้งก็เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่บุคคลที่ได้พบเห็นติดต่อเกี่ยวข้อง
5 . เงา เป็นความระลึกนึกคิดที่ติดตัวมาเหมือนเงาตามตัวและถูกบดบังไว้ในจิตไร้สำนึก ขนบประเพณี
6. ลักษณะของความเป็นชายและความเป็นหญิง จุงเชื่อว่า ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนมีส่วนประกอบของเพศตรงข้ามอยู่ในตัว คือ เพศชายมีลักษณะความเป็นหญิง เพศหญิงมีลักษณะความเป็นชาย อยูในตัวบุคคลนั้น
จุงเชื่อว่ามนุษย์มีทั้งโลกภายในและภายนอก ทั้งสองนี้จะประกกอบกันขึ้นเป็น ตัวตน ซึ่งคือบุคลิกภาพของบุคคลนั้นเอง
จุงแบ่งบุคลิกภาพเป็น 3 ประเภท คือ
1 . บุคลิกภาพแบบเก็บตัว เป็นคนลึกลับ ชอบเก็บตัวและผูกพันกับตนเองมากกว่าที่จะผูกพันกับสังคม
2 . บุคลิกภาพแบบเปิดเผย  เป็นคนเปิดเผย ร่างเริง ชอบเข้าสังคมและสนใจสิ่งแวดล้อม
3 . บุคลิกภาพแบบกลาง ๆ มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างบุคลิกภาพแบบเก็บตัวและแบบเปิดเผย คือไม่เก็บตัวมากจนเกินไป
จุงเสนอแนะว่าบุคลิกภาพแบบกลางๆ เป็นบุคลิกภาพที่พอเหมาะซึ่งน่าจะปรากฏในบุคคลที่สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมได้ดีมีประสิทธิภาพหรือเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั้นเอง
5 . แนวคิดตามทฤษฎีจิตวิทยารายบุคคล
อัลเฟรด แอดเลอร์ เป็นผู้บุกเบิกแนวทางในการศึกษาพฤติกรรมและบุคลิกภาพของมนุษย์ที่เน้นอิทธิพลของสัมพันธภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์หรือพฤติกรรมสังคม แนวความคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของแอดเลอร์มีดังนี้
1. ความปรารถนามีปมเด่น ทุกคนอยากมีปมเด่นสักอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างแตกต่างกันออกไป ความปรารถนานี้ในคนเดียวกันยังอาจต่างกันได้ตามอายุและพัฒนาการของชีวิต
2 . ปมด้อย การมีปมด้อยและความปราถนาที่จะเด่นนั้นเป็นแรงผลักดันอันสำคัญยิ่งที่ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ
3. ประสบการณ์ในวันเด็ก  แอดเลอร์เชื่อว่าประสบการณ์ในวันเด็กมีอิทธิพลต่อลักษะนิสัย บุคลิกภาพ ปมด้อยของบุคคลทุกคน
4 . สัมพันธภาพในครอบครัว  แอดเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าลำดับการเกิดในครอบครัวมีผลต่อบุคลิกภาพของบุคคล ดังนี้
1.ลูกคนโต มักจะมีบุคลิกภาพ เป็นคนเอาจริงเอาจังต่อชีวิต มีความรับผิดชอบ มักเป็นผู้นำ ผู้ไว้อำนาจแต่ถ้าแก้ความก้าวร้าวไม่ได้ ลูกคนโตมักมีบุคลิกภาพก้าวร้าว เคร่งเครียด และอิจฉาริษยา   
2.ลูกคนรอง มักมีบุคลิกภาพ เป็นคนไม่เคร่งเครียด ไม่เอาจริงเอาจังเท่าไรนัก มีนิสัยรักสนุก ไม่ค่อยสนใจที่จะเป็นผู้นำหรือรับผิดชอบสักเท่าไร แต่เมื่อลูกคนรองมีน้อง ความรู้สึกการแข่งขันจะเกิดขึ้นทันที ถ้าในครอบครัวมีสัมพันธภาพไม่ดีอาจทำให้ลูกคนรองที่กลายมาเป็นคนกลางอาจมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ลำเอียง และเกิดปัญหาในที่สุด
3. ลูกคนสุดท้อง มักมีบุคลิกภาพเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง ช่างประจบ ชอบให้คนอื่นช่วยเหลือ ได้รับความรักจากพ่อแม่พี่ๆ ค่อนข้างมาก ถ้าเลี้ยงดีก็จะดีมากแต่ถ้าเลี้ยงตามใจมากเด็กอาจเสียในที่สุด
4. ลูกโทน มักจะมีบุคลิกภาพที่มักจะเอาแต่ใจตนเอง มักถูกตามใจจนเคยตัว แต่ถ้าครอบครัวสอนให้รู้เหตุรู้ผลลูกโทนจะมีความเชื่อมั่นในตนเอง องอาจ นับถือตนเอง แต่ความรับผิดชอบอาจน้อยเพราะต้องการอะไรก็มักจะได้โดยง่ายจึงไม่รู้ค่าของสิ่งที่มี
ตามความเห็นของแอดเลอร์นอกจากตำแหน่งที่เกิดมาในครอบครัวแล้ว เจตคติของพ่อแม่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องต่อบุคลิกภาพของลูกเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นลูกคนที่เท่าไรก็ตามหากพ่อแม่ให้สำคัญกับลูก พ่อแม่จะมีความยุติธรรมเสมอและทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกเท่ากันซึ่งเป็นลักษณะของผู้มีสุขภาพจิตที่ดี
5 . อิทธิพลแห่งวัฒนธรรม นอกจากอิทธิพลของครอบครัวแล้ว แอดเลอร์เห็นว่าวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่คนเราเกิดมาก็มีความสำคัญต่อการสร้างบุคลิกภาพได้ ในปัจจุบันเด็กใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในโรงเรียน โรงเรียนจึงเป็นสถาบันที่สำคัญที่หนึ่งซึ่งจะช่วยหล่อหลอมบุคลิกภาพในวัยเด็กได้ ถ้าโรงเรียนส่งเสริมเรื่องการแข่งขันมากเด็กก็จะมีลักษณะชอบชิงดี ชิงเด่น เห็นแก่ตัว แต่ถ้าเด็กทีอยู่ในระเบียนวินัยเคร่งครัดก็จะทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดขาดความเป็นอิสระ ซึงวัฒนธรรมทางสังคมก็จะมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของคนได้เช่นกัน
6 . แนวความคิดตามทฤษฎีตัวตนของโรเจอร์
มีความเห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีและมีความสำคัญมาก โดยมีความพยายามที่จะพัฒนาร่างกายให้มีความเจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพสูงสุด โรเจอร์ส ตั้งทฤษฏีขึ้นมาจากการศึกษาปัญหาพฤติกรรมของคนไข้จากคลินิกการักษาคนไข้ของเขา และได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่เกิดจากสุขภาพเป็นอย่างมาก ทฤษฏีของโรเจอร์เน้นถึงเกียรติของบุคคล ซึ่งบุคคลมีความสามารถที่จะทำการปรับปรุงชีวิตของตนเองเมื่อมีโอกาสเข้ามิใช่จะเป็นเพียงแต่เหยื่อในขณะที่มีประสบการณ์ในสมัยที่เป็นเด็ก หรือจากแรงขับของจิตใต้สำนึก แต่ละบุคคลจะรู้จักการสังเกตสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา โดยมีแนวทางเฉพาะของบุคคล
ตัวตนตามแนวคิดของโรเจอร์ ประกอบไปด้วยตัวตน 3 ประเภทคือ
1 . ตนที่ตนมองเห็น (Self Concept) ภาพที่ตนเห็นเองว่าตนเป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถ ลักษณะเพราะตนอย่างไร เช่น สวย รวย เก่ง ต่ำต้อย ขี้อายฯลฯ การมองเห็นอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือภาพที่คนอื่นเห็น
2 . ตนตามที่เป็นจริง (Real Self) ตัวตนตามข้อเท็จจริง แต่บ่อยครั้งที่ตนมองไม่เห็นข้อเท็จจริง เพราะอาจเป็นสิ่งที่ทำ ให้รู้สึกเสียใจ ไม่เท่าเทียมกับบุคคลอื่น เป็นต้น
3 . ตนตามอุดมคติ (Ideal Self) ตัวตนที่อยากมีอยากเป็น แต่ยังไม่มีไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน เช่น ชอบเก็บตัว แต่อยากเก่งเข้าสังคม เป็นต้น
อย่างไรก็ตามโรเจอร์มีแนวความคิดว่า บุคคลที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบ (Fully Functioning Persons) จะมีคุณลักษณะเฉพาะดังนี้
1 . เป็นผู้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ
2  . มีชีวิตอยู่ในโลกของความเป็นจริง
3 . มีความไว้วางใจตนเอง
4  . มีลักษณะสร้างสรรค์
5 . มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าคนอื่น
 7 . แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฮอร์นาย คาเรน ฮอร์นาย
เป็นนักทฤษฎีที่มองปัญหาของมนุษย์อย่างมีความหวังและเชื่อว่ามนุษย์เป็นนายในการจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตของตนมิใช่เป็นทาสของปัญหา นักจิตวิเคราะห์ คาร์เรน ฮอร์เนย์ ได้อธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการดังนี้
1 . ความต้องการความรักและการยอมรับ
2 .ความต้องการคู่ครอง
3 . ความต้องการจำกัดตนเองในวงแคบ
4 . ความต้องการอำนาจ ที่จะควบคุมผู้อื่น
5 . ความต้องการทำลาย
6 . ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องและสรรเสริญ
7 . ความต้องการที่จะให้คนอื่นชื่นชมตนเอง
8 . ความต้องการความสำเร็จตนเอง
9 . ความต้องการความเป็นอิสระ
10 . ความต้องการความสมบูรณ์แบบชนิดที่ติมิได้
มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความต้องการแบบนี้ทั้งสิน
8 . แนวความคิดตามทฤษฎีบุคลิกภาพของฟรอมม์ อีริค ฟรอมม์
มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพเกิดจากคววามสำเร็จหรือความล้มเหลวของสังคมในการที่จะตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคล ความต้องการที่เป็นพื้นฐานสำคัญของบุคลิกภาพแบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้
1 . ความต้องการมีสัมพันธภาพ เนื่องจากมนุษย์พบกับความอ้างว้างเดียวดายจึงต้องแก้ไขโดยการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
2 . ความต้องการสร้างสรรค์ เป็นความต้องการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมของชีวิตให้แตกต่างจากสัตว์ชั้นต่ำ จากความต้องการนี้มนุษย์จะรู้จักรักและรู้จักเกลียดซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างสรรค์
3  . ความต้องการมีสังกัด เป็นความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโลก สังคม ครอบครัว สำนักงาน  ความต้องการประเภทนี้ที่น่าพึงพอใจคือการมีไมตรีจิตกับมนุษย์ทั่วโลก
4 .ความต้องการมีเอกลักษณ์ เป็นความตองการเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าตนเองคือใคร
5 . ความต้องการมีหลักยึดเหนี่ยว เป็นความต้องการที่จะมีหลักสำหรับอ้างอิงความถูกต้องในการ กระทำของตน
ฟรอมม์ได้แบ่งลักษณะบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1 . บุคลิกภาพประเภทไม่สร้างสรรค์มี 4 ลักษณะ ได้แก่
1 . 1 บุคลิกภาพชอบทำลาย มีความก้าวร้าวสูง
1.2 บุคลิกภาพยอมรับฟังหรือทำตามใจผู้อื่น
1.3 บุคลิกภาพชอบท้าทาย เป็นนักธุรกิจ ชอบเก็บของแล้วขายต่อ
1.4 บุคลิกภาพชอบสะสมไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือตัวบุคคล
2 . บุคลิกภาพประเภทสร้างสรรค์ มีลักษณะกระตือรือร้น กระฉับกระเฉงว่องไว มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พยายามสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมเสมอ
9 .  แนวความคิดตามทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสื่อสาร
โดย อีริค เบอร์น ได้กล่าวถึงโครงสร้างทางบุคลิกภาพของบุคคลที่เรียกว่าสภาวะส่วนตน เมื่อบุคลมีการติดต่อสื่อสารกับบุคลอื่นบุคลนั้นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ  ไปตามบุคคลที่เขากลังติดต่อสื่อสารด้วย เช่น น้ำเสียง คำพุด สีหน้า ท่าทาง เป็นต้น สภาวะส่วนตนประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1 .  สภาวะความเป็นพ่อแม่  เป็นสภาวะส่วนตนที่แสดงบุคลิกภาพเป็นแบบพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่มีอิทธิพลเหนือกว่า สภาวะความเป็นพ่อแม่แบ่งได้ 2 แบบคือ
1.พ่อแม่ที่มีความเมตตา เป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่เข้าใจเอาใจใส่และคอยห่วงใยผู้อื่นซึ่งแสดงออกมาในลักษณะของการช่วยเหลือ ปลอบโยน ให้กำลังใจ ห่วงใย สนับสนุน พูดเพราะ
2 . พ่อแม่ที่บังคับควบคุม เป็นลักษณะที่ชอบประเมินและตัดสินผู้อื่น เช่น การดุด่าตำหนิติเตียน บังคับ ข่มขู่ วิพากษ์วิจารผู้อื่น
2 . สภาวะความเป็นเด็ก เป็นสภาวะส่วนบุคคลที่แสดงบุคลิกภาพแบบเด็กซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมที่เป็นไปตามธรรมชาติปราศจากการบังคับควบคุม สภาวะความเป็นเด็กมี 2 แบบ ได้แก่
1 . เด็กตามธรรมชาติ เป็นส่วนของบุคลิกที่แสดงพฤติกรรมไปตามธรรมชาติไม่มีการควบคุม เช่น สนุกสนานร่าเริง กระตืนรือร้น อยากรู้อยากเห็น เป็นต้น
2 . เด็กปรับตัว เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่แสดงถึงการไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพึ่งคนอื่น ตัดสินใจด้วยตนเองไม่ได้ ต้องคอยหาคนอื่นช่วยเหลือสนับสนุน
3 .  สภาวะความเป็นผู้ใหญ่ เป็นสภาวะส่วนตนที่แสดงบุคลิกภาพในลักษณะของการใช้เหตุผล แสวงหาข้อมูลความรู้ต่างๆ มีการวิเคราะห์ใคร่ครวญตรวจสอบสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
บุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสมหรือผิดปกติซึ่งแบ่งได้ 3 ลักษณะ
1 . ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ เป็นสาเหตุของความผิดปกติของบุคลิกภาพซึ่งเกิดจากที่สภาวะความเป็นผู้ใหญ่ (A) ถูกทำให้เลอะเลือนโดยสภาวะความเป็นพ่อแม่ (P) หรือโดยสภาวะความเป็นเด็ก (C) ดังนี้
1.1ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นพ่อแม่ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกต้องเลอะเลือนด้วยสภาวะความเป็นพ่อแม่
1.2ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นเด็ก บุคคลที่มีสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกต้องเลอะเลือนด้วยสภาวะความเป็นเด็ก
1.3 ความเลอะเลือนของสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเกิดจากสภาวะความเป็นพ่อแม่และความเป็นเด็ก บุคคลที่มีสภาวะความเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกต้องเลอะเลือนด้วยสภาวะความเป็นพ่อแม่และสภาวะคววามเป็นเด็กรวมกัน
2 . การปิดกั้นสภาวะส่วนตนแต่ละส่วน เป็นสาเหตุของความผิดปกติของบุคลิกภาพ ซึ่งเกิดจากการที่สภาวะส่วนถูกอาณาเขตส่วนตนปิดกั้นไว้จึงไม่สามารถถ่ายเทเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะส่วนตนส่วนอื่นได้จึงทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่เด่นชัดเพียงส่วนเดียวแม้ว่าจะเป็นการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันก็ตาม การปิดกั้นสภาวะส่วนตนแต่ละส่วนเป็นสาเหตุของการมีบุคลิกภาพไม่เหมาะสมหรือผิดปกติได้ 3 ประเภท ดังนี้
1 . การมีสภาวะความเป็นพ่อแม่อย่างเดียว บุคคลที่มักบุคลิกภาพเช่นนี้ถ้ามีสภาวะความเป็นพ่อแม่ที่บังคับควบคุมอย่างเด่นชัดก็มักชอบเป็นเจ้าชีวิตของผู้อื่น
2. การมีสภาวะความเป็นผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียว บุคคลที่มักบุคลิกภาพเช่นนี้จะมีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์
 3. การมีสภาวะความเป็นเด็กเพียงอย่างเดียว บุคคลที่มักบุคลิกภาพเช่นนี้มักชอบแต่ความสนุกสนาน
3 . การเปลี่ยนแปลงสภาวะส่วนตนที่รวดเร็วเกินไป เป็นสาเหตุของการมีบุคลิกภาพไม่เหมาะสมหรือผิดปกติซึ่งจากการถ่ายเท เปลี่ยนแปลงสภาวะส่วนตนจากส่วนหนึ่งไปยังอีกส่วนหนึ่งอย่างรวดเร็วจนเกินความเหมาะสมเพราะอาณาเขตส่วนตนไม่สามารถปิดกั้นสภาวะส่วนตนแต่ละส่วนได้ จึงทำให้บุคคลมีบุคลิกภาพที่แปรปรวนโลเลไม่แน่นอน เดี๋ยวเหมือนเด็กเดี๋ยวเหมือนผู้ใหญ่
 11 . ทฤษฎีมนุษยนิยม
นักทฤษฎีที่สำคัญ คือ อัมบราฮัม มาสโลว์ เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองไปในทางที่ดี มนุษย์ทุกคนมีความรักตน มีการเจริญเติบโต และมีความต้องการการตอบสนอง ความรับผิดชอบและเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง มนุษย์จะควบคุมตนเองได้ด้วยตนเองมากกว่าให้สิ่งแวดล้อมมาตัดสินควบคุมตนเอง
·       ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ เน้นว่า โดยธรรมชาติมนุษย์เกิดมาดีและพร้อมที่จะทำสิ่งที่ดี ถ้ามนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานเพียงพอ โดยมี 5 ขั้นต้น และ 2 ขั้นสูง
1 .  ความต้องการสุนทรียะ
2 . ความต้องการที่จะรู้และเข้าใจ
3 . ความต้องการระหนักในตนเอง
4 . ความต้องการยอมรับและยกย่องในสังคม
5 . ความต้องการความรักและเป็นเจ้าของ
6. ความต้องการความปลอดภัย
7. ความต้องการทางด้านร่างกาย

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

Public Health

P = Person =การพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพพร้อมที่จะออกไปสู่ชุมชนได้อย่างเข้มแข็งU = Unity = ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ของตนB = Balance = ความสมดุลหรือดุลยภาพ มีความกลมกลืนกันL = Love = ความรัก (เป็นข้อผูกมัดทำให้เกิดความเมตตากรุณา)I = I With you ,Go together ฉันกับเธอ ไปด้วยกันC = Concentrate = ทำให้เข้มแข็งขึ้น
. . แปล Public = การพัฒนาบุคคลากรให้มีคุณภาพและความพร้อมที่จะลงสู่ชุมชนได้อย่างเข้มแข็งด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของหมู่คณะ ซึ่งมีผลงานวิจัยและโครงการเป็นเอกลักษณ์ของตน เราอยู่กันอย่างสมดุล กลมกลืน และลงตัว ภายใต้เงื่อนไขความรัก ความเมตตาและความผูกพัน ฉันและเธอทุกๆคนจะร่วมมือกันสร้างความเข้มแข็งและปกปกป้องสาขาไปพร้อมๆกัน 
H = Humanize = ความเป็นมนุษย์ (ความเชืาอใจที่มนุษย์พึงมีต่อกัน) 
E = Exact = ที่แท้จริง
A = Alleviation = การบรรเทา คือ บรรเทาความเจ็บป่วยให้แก่ประชาชน
L = Learning Process = กระบวนการเรียน
T = Tenderhearted = ความเห็นอกเห็นใจ
H = Help = การสนับสนุน ช่วยเหลือและเกื้อกูล 
....แปลHealth = การมีหัวใจความเป็นมนุษย์ในการสนับสนุน ช่วยเหลือ และเกื้อกูลแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น และพร้อมที่จะพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในวิชาชีพของตนอยู่เสมอ เพื่อนำมาปรับใช้ในการบรรเทาความเจ็บป่วยให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Becteria

โรคฉี่หนู Leptospirosis
            โรคฉี่หนูเป็นที่มักจะระบาดหน้าฝน โดยจะพบเชื้อโรคในปัสสาวะของหนู สุนัข สุนัขจิ้งจอก สัตว์เลี้ยงในบ้าน แต่พบมากในหนูซึ่งสามารถแพร่เชื้อออกมาได้โดยที่ตัวมันไม่เป็นโรค

สาเหตุของโรค
           
ไข้ฉี่หนู  เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียที่มีรูปร่างเกลียว มีชื่อว่า เลปโตสไปรา( Leptospira ) จึงเรียกชื่อโรคนี้ว่าเลปโตสไปโรซิส ( Leptospirosis ) เชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่ในท่อหลอดไตของสัตว์ได้หลายชนิด โดยมีหนูเป็นแหล่งรังโรคที่สำคัญที่สุด บางซีโรวาร์มีความจำเพาะกับสัตว์บางชนิด เชื้อสามารถมีชีวิตได้นานหลายเดือนหลังจากถูกขับออกทางปัสสาวะจากสัตว์ที่มีเชื้อ สัตว์อื่นๆที่เป็นแหล่งรังโรค ได้แก่ สุกร โค กระบือ สุนัข แรคคูณ โดยที่สัตว์อาจจะไม่มีอาการแต่สามารถปล่อยเชื้อได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรืออาจจะตลอดชีวิตสัตว์

การดำเนินโรค
           
โรคเล็ปโตสไปโรซิส ติดต่อจากคนสู่คนได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ติดต่อกันโดยการสัมผัสกับปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อของสัตว์ที่มีการติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ เช่น
-การกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
-การหายใจเอาไอละอองของปัสสาวะ หรือ ของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
-เข้าผ่านเยื่อบุต่างๆ เช่น ตา และปาก
-ไชเข้าทางผิวหนังตามรอยแผลและรอยขีดข่วน
-ไชเข้าทางผิวหนังปกติที่เปียกชุ่มจากการแช่น้ำนานๆ

           
ระยะฟักตัวของโรคใช้เวลา 1-2 สัปดาห์แต่อาจนานได้ถึง 3 สัปดาห์ แบ่งเป็นระยะมีเชื้อในเลือด (leptospiremic phase) ซึ่งจะเริ่มแสดงอาการและส่วนใหญ่จะหายไปเองใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นอีก 1-3 วันจะเข้าสู่ระยะมีเชื้อในปัสสาวะ (leptospiruric phase) ผู้ป่วยบางส่วนจะแสดงอาการอีกครั้ง ประมาณ 5-10% ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการของโรคเล็ปโตสไปโรซิสรุนแรง


                                                   เล็บโตสไปร่าขยายด้วยกล้องจุลทัศน์อีเล็กตรอน
ที่มา:https://th.wikipedia.org/wiki/โรคฉี่หนู

การติดต่อ 
                โรคนี้ติดต่อจากสัตว์สู่คน  โดยสัตว์ที่เป็นโรคนี้จะขับถ่ายเชื้อโรคออกมากับปัสสาวะ เชื้อจะอาศัยได้ในดินที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง  และเข้าสู่คนทางผิวหนังอ่อน เช่น ชอกนิ้วมือและเท้า บาดแผลหรือเยื่อเมือก ดังนั้นมักจะพบโรคนี้ในคนที่ทำงานเกียวข้องกับสัตว์ เช่น สัตวบาล เกษตรกร และผู้มีอาชีพสัมผัสกับน้ำหรือคนที่ย่ำน้ำในที่น้ำท่วมขังนาน ๆ

แหล่งระบาด
                โรคนี้พบมากในเขตร้อนหรือเขตมรสุม  เพราะมีสภาพอากาศที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของเชื้อ  และมีสัตว์ที่เป็นรังโรคอยู่ชุกชุม  ในประเทศไทยโรคนี้กระจายอยู่ทั่วประเทศ และมีรายงานพบผู้ป่วยมากในภาคอีสาน


อาการ
             คนที่ได้รับเชื้ออาจมีหรือไม่มีอาการ  ในผู้ที่มีอาการมักแสดงอาการหลังจากได้รับเชื้อ 2-3 วัน  จนถึง 2-3 สัปดาห์  อาการที่สำคัญ คือ มีไข้  ปวดศีรษะ  ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อโดยอย่างยิ่งที่น่อง  ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน  คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ไตวาย หรืออาการทางสมองและระบบประสาท  และอาจถึงตายได้ ( อัตราการตายสูงถึงร้อยละ 10-40)

การวินิจฉัย
                โดยการซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวปัจจัยเสี่ยงของโรค  อาการป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดและปัสสาวะของผู้ป่วย

การรักษา
                โรคนี้หากรักษาตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยให้ยาปฏิชีวนะเฉพาะโรคจะได้ผลดีกว่าปล่อยให้มีอาการรุนแรงแล้วจึงรักษา  เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้  แต่ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง  เพราะอาจเป็นอันตรายจาการแพ้ยา  หรือใช้ยาที่ไม่ถูกต้องได้  ดังนั้นควรพบแพทย์เพี่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง

การป้องกัน
การป้องกัน ควรเริ่มจากการให้ความรู้ด้านสุขศึกษาแก่ กลุ่มเสี่ยง ซึ่งการป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1.กำจัดหนู
2.ควรสวมชุดป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อผ้า
3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นพาหะ ของโรคดังกล่าว
4.หลีกเลียงการว่ายน้ำที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่
5.หลีกเลี่ยงไม่ไปสัมผัสปัสสาวะโค กระบือ หนู สุกร และไม่ใช้แหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ
6.หลีกเลี่ยงอาหารที่ปล่อยค้างคืน โดยไม่มีภาชนะปกปิด เป็นต้น
7.หลีกเลี่ยงการทำงานในน้ำหรือต้องลุยน้ำ ลุยโคลนเป็นเวลานานๆ
8.รีบอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายโดยเร็วหากแช่ หรือ ยำลงไปในแหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ

Helminths

พยาธิปากขอ (Hookworm disease)
                โรคพยาธิปากขอ (Hookworm disease)  เป็นโรคปรสิตของพยาธิตัวกลมที่เกิดจากพยาธิปากขอ 2 ชนิด ได้แก่  Necater americanus และ Ancylostoma duodenale ส่วนพยาธิปากขอที่พบในสัตว์ เช่น สุนัข แมว โค กระบือ ฯลฯ จะเป็นชนิด Ancylostoma braziliense และ Ancylostoma canium ซึ่งระยะตัวอ่อนสามารถซอนไซเข้าสู่ผิวหนังคนได้ แต่ไม่สามารถเติบโตเป็นตัวเต็มวัยได้

 วงจรชีวิต


วงจรชีวิตของ Hookworm disease
ที่มา .
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/HOOKWORM.htm#.

                  พยาธิปากขอตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กโดยกัดติดกับเยื่อบุผนังลำไส้ ดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากลำไส้ พยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 6000-20000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระ ถ้าอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ตัวอ่อนจะออกจากไข่ใน 1-2 วัน เป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่งเรียกว่า rhabditiform larvae เจริญในดินหรืออุจาระตัวอ่อนจะลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่สองมีลักษณะเหมือนตัวอ่อนระยะที่หนึ่งแต่ตัวใหญ่กว่าโดยใช้เวลา5-10 วัน และจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สามเรียก filariform ในระยะเวลา 5-10 วัน ระยะนี้เป็นระยะติดต่อซึ่งสามารถไชทะลุผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายคนได้เข้าสู่หลอดเลือดดำ ไปหัวใจ เข้าปอด ไชออกจากปอดเข้าคอยหอย หลอดอาหาร แล้วสู่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในลำไส้เล็ก ตัวแก่ส่วนใหญ่จะถูกขับออกใน 1-2 ปีแต่อาจจะอยู่ได้หลายปี

การกระจายโรค
พบได้ทั่วประเทศ แต่พบมากในเขตภาคใต้เนื่องจากเดินเท้าเปล่ากรีดยางตอนเช้า ละถ่ายอุจาระตามพื้นดิน

อาการโรคพยาธิปากขอ
1. ตัวอ่อนที่ซอนไซเข้าสู่ผิวหนังผ่านง่ามมือง่ามเท้าหรือจุดอื่นๆ บริเวณดังกล่าวในระยะ 10-14 วัน จะมีอาการผื่นแดง คัน อักเสบ เป็นตุ่มแดง และอาจเห็นเป็นจุดเลือดเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 วัน ในบางรายอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้บวม และเกิดหนอง ซึ่งจะหายเองภายใน 2-3 สัปดาห์
2. เมื่อพยาธิซอนไซผ่านบริเวณปอด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ และมีไข้
3. เกิดแผลบริเวณลำไส้ ร่วมกับมีเลือดออก และเยื่อบุลำไส้ตายเป็นหย่อมๆ
4. เกิดภาวะโลหิตจาง เมื่อมีพยาธิอาศัยอยู่จำนวนมาก
– A. duodenale สามารถดูดเลือดได้วันละมากกว่า 0.03-0.05 ลบ.ซม./ตัว
– N. americanus สามารถดูดเลือดได้วันละมากกว่า 0.14 ลบ.ซม./ตัว
การเป็นโลหิตจางจากพยาธิปากขอชนิด Hypochromic microcytic anemia จะมีลักษณะของเม็ดเลือดแดงขนาดเล็ก และติดสีจาง เหมือนภาวะโลหิตจางจาการขาดธาตุเหล็ก
5. เมื่อพยาธิตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในลำไส้มาก ผู้ป่วยจะรู้สึกจุกเสียด แน่นท้อง โดยเฉพาะบริเวณยอดอก (Epigastrium) ร่วมด้วยกับอาการปวดท้อง และนานวันจะมีอาการเสียเลือดเรื้อรัง ทำให้ร่างกายซูบผอม รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตัวซีด ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่มีปริมาณพยาธิน้อยมักไม่ปรากฏอาการ หรืออาจมีอาการน้อยมากจนนึกว่ามาจากสาเหตุอื่น
พบพยาธิน้อยกว่า 50 ตัว และมีไข่พยาธิน้อยกว่า 2,100 ฟองต่ออุจจาระ 1 กรัม ผู้ป่วยมักไม่ปรากฏอาการ
พบไข่พยาธิระหว่าง 2,100-5,000 ฟองต่ออุจจาระ 1 กรัม มักพบมีอาการซีดของร่างกาย
พบไข่พยาธิเกินกว่า 11,100 ฟองต่ออุจจาระ 1 กรัม มักเกิดภาวะโลหิตจาง

การรักษา
1. การรักษาตามอาการ หากผู้ป่วยมีอาการซีด และโลหิตจาง รักษาด้วยการให้เฟอร์รัสซัลเฟต ชนิดเม็ด วันละ 3 ครั้ง ร่วมด้วยกับการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ไข่แดง เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
2. การใช้ยาถ่ายพยาธิ ด้วยยาชนิดต่างๆ ได้แก่
– Pyrantel pamoate ติดต่อกัน 2 วัน ขนาดยา 20 มก./น้ำหนักตัว 1 กก.
– Mebendazole ติดต่อกัน 3 วัน ขนาดยา 100 มก.
– Thiabendazole ติดต่อกัน 3 วัน หลังอาหารเช้า-เย็น ขนาดยา 25 มก./น้ำหนักตัว 1 กก.
– Terachloroethlene ขนาด 0.01 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ไม่ควรเกิน 4 มิลลิกรัม แต่ยานี้มักพบอาการแทรกซ้อนตามมา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศรีษะ
– Levamisole ขนาด 2.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในระยะ 2-3 วัน ยานี้มักใช้ได้ผลดีในพยาธิกลุ่ม N. americanus มากกว่า A. duodenale
การรับประทานผลมะเกลือ (Diospyros mollis) โดยนำผลดิบตำ และคั้นน้ำดื่ม 1 ผลกับอัตราอายุ 1 ปี แต่มากสุดไม่ควรเกิน 25 ผล

การป้องกัน
1. การกำจัดพยาธิจากคนด้วยการรับประทานยา
2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสัตว์น้ำสุกๆดิบๆ
3. การรับประทานพืชผักหรือผลไม้ต่าง ควรล้างทำความสะอาดก่อนทุกครั้ง
4. การทำความสะอาดภาชนะรับประทานอาหาร และการล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
5. การถ่ายอุจจาระในสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะ พร้อมการกำจัดสิ่งปฏิกูลจากส้วมที่ถูกวิธี


การวินิจฉัย
1. การตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งหากพบตัวอ่อน หรือตัวเต็มวัยของพยาธิปากขอจะถือเป็นการวินิจฉัยที่แน่นอน ซึ่งควรตรวจภายใน 24 ชั่วโมง เพราะหากนานกว่านี้จะทำให้การวินิจฉัยยากเนื่องจากตัวอ่อนของพยาธิชนิดอื่นจะฟักออกมาทำให้ต้องแยกแยะตัวอ่อนของพยาธิปากขอได้ยากขึ้น
2. การเพาะเชื้อโดยวิธี Filter paper technique



                                                         ไข่พยาธิจะมีขนาด 50-70 ไมครอนเปลือกบาง ไข่รูปร่างรี



ตัวอ่อนระยะrhabditiform larvae


ตัวเเก่ของพยาธิ

ที่มา: http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/HOOKWORM.htm#.Vkw6w3YrLIU (06 Nov 2015)